.

ยินดีต้อนรับสู่ ข้อคิดดีๆกับนานาจัง แวะมาอ่านข้อคิด รวมถึงฟังเพลงเพราะๆได้คะ

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

น่าคิดนะ : นัยยะวิชาที่เราเรียน ว่าเราใช้ประโยชน์บ้างหรือไม่ ตอน 1

น่าคิดนะ  นัยยะวิชาที่เราเรียน ว่าเราใช้ประโยชน์บ้างหรือไม่

เริ่มแต่สมัยอนุบาล 

วิชาภาษาอังกฤษ ทุกคน เริ่มที่ ant แอ๊น มด /dog ด๊อก สุนัข / This is a book 
เมือเราอยู่สมัยประถม ก่อนเข้า ชม.เรียน. มีท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ สูตรคูณ บทอาขยาน 
เด็กนักเรียนท่องตามครูสั่งโดยไมได้สงสัยว่าท่องทำไม  หรือท่องให้เสร็จๆไปครูจะได้ไม่ดุ
 เราลองไล่วิชาที่เราเรียนแต่เด็กว่ามีอะไรบ้าง และวิชาเหล่านั้นมีนัยยะแฝงอยู่ เรียนแต่
อนุบาล ประถม จนถึง มัธยม เรียน  tense gramma  จนแม่นเป๊ะ ข้อสอบถามว่า 
ประโยคเหล่านี้ เขียนถูกต้องไหม แต่พอเด็กไทยเจอฝรั่งถามทาง บางคนพอตอบได้ 
บางคน แทบจะวิ่งหนีฝรั่งเอาเลย หรือบางคนใช้ภาษามือสือสารกับต่างชาติ

วิชาเลข หลายคนบอกเป็นวิชายาขม เอาเลย บางคนแอบนินทาคุณครูว่า จะสอนให้
เด็กเป็นเด็กวิศวะทุกคนเลยหรือไง วิฃาเลขสมัยเรียน มี ค่าพาย ตรีโกรน เรขาคณิต 
ค่า xy เศษส่วน หลายคนพอเรียนจบทำงานนึกในใจว่า ที่เราเรียนมาหลายปี 
พอทำงานไมได้ใช้เลย ใช้แค่บวกลบคูณหาร ไว้ตอนซื้อของ หรือทางลัดกด
เครื่องคิดเลขเลย

วิชาภาษาไทย หลายคนแอบบ่นอีก เข้าใจยาก วิชาที่เราเรียน มีแม่กด กบ/เสียงเอก 
โท ตรี /อักษรสูงกลาง ต่ำ และอื่นๆอีกมากมาย ข้อสอบเช่นเคย ถามว่า ประโยคนี้
ประกอบด้วย เสียงอะไรบ้างบอกมาให้ครบ หลายคนบอกว่าพอเรียนจบทำงาน 
ไม่เห็นได้ใช้ ใช้แค่เขียนธรรมดา ไม่เห็นมีไล่เสียงอะไรเลย

วิชาวรรณคดี เราอ่านวรรณคดีไทยมากมาย บอกว่า อ่านแล้วงง เข้าใจยาก 
และมีท่องบทในวรรณดคี รวมถึง อาขยาน เช่น สักวาหวานอื่นมีหมืนแสน 
ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม เป็นต้น พอขึ้นชั้นใหม่ ก็ลืมท่องปีที่แล้ว 
และเช่นเดิม หลายคนบอก ท่องแทบตาย จบทำงาน ไมไดใช้

วิชาสังคม เรียนว่าประเทศไทยมีรูปร่างเป็นขวานประกอบด้วยกี่ภาค กี่จังหวัด
 มีภูมิประเทศอย่างไร  มีประเทศหรือทะเลอะไรล้อมรอบ ส่วนโลก ประกอบด้วยกี่ทวีป
 เป็นต้น เช่นเดิมคนบอกว่า เอาไปใช้อะไรตอนทำงานหละ

วิชาประวัติศาสตร์ เรียนประวัติไทยเริ่มสร้างเมืองแต่สุโขทัย สมัยพ่อขุน  
ประดิษฐอักษรไทย มาสมัยอยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น หลายคนบอก 
ท่องกันเยอะแยะ เป็นวิชาท่องจำ ท่องให้สอบผ่านๆ เพราะคิดว่า จบไปเอาใช้ทำอะไร

วิชาคหกรรม เย็บปักถักร้อย ถักนิกติ้ง แกะสลักผลไม้ ทำอาหาร พอเรียนจบทำงานจริง 
บางคน ใช้เต็มที่ ไว้เย็บกระดุม หรือเวลาทำกับข้าวจริงๆแค่เอาทุกอย่างโยนลงกระทะ 
แล้วคลุกๆ

วิชาพุทธศานา : เรียนประวัติพระพุทธเจ้า ว่า ตอนประสูติ เดินได้บนดอกบัว  
จนมาถึง ออกบวช แระตรัสรู้  หลักคำสอน มีบัว 4เหล่า เด็กเรียนไปบางทีหลับไป 
พอแด็กโตขึ้นเราถามว่า วันวิสาขะ สำคัญอย่างไร ตอบกันไม่ค่อยได้ เพราะลืมแล้ว 
รู้แค่เวียนเทียนที่วัด

วิชานาฏศิลปะ มีฟ้อนรำ คงหนีไม่พ้น รำเชิญพระขวัญ ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย 
มาสู่องค์เอย ขอเชิญพระขวัญ เมื่อวันเดือนเพ็ญ  หรือบางคนเรียนรำ พลายชุมพล 
หลายคนรำ เก้ๆกั้งๆ ตอนนั้น

วิชาวิทยาศาสตร์ เนือหาต่างๆมากมาย และมีเข้าแล๊บ ทดลองทางวิทยาศาสตร์ 
โดยผสมสารต่างๆในห้องหลอดทดลองยาวๆ บางทีใช้ตะเกียงเป็นตัวช่วย 
เมือทดลองเสร็จให้เด็กเขียนผลการทดลองส่งครู   เช่นเดิมเรียนจบทำงาน 
บางคนความรู้ฝากครูเกือบหมด

วิชาเกษตรกรรม ขาดไมได้ เพาะถั่วงอก ดองไข่เค็ม หรือบางที ปลูกผักบุ้ง 
มีลงแปลงเกษตร บางคนบอกดุ ยูทุป 5 นาทีก็ทำได้แล้ว


วิชาพละศึกษา มีวิ่ง ตีปิงปอง แชร์บอล ฟุตบอล บางคนแอบบอกว่า เป็นวิชายาขม
อีกวิชานึง จบไปทำงาน แทบไมได้เล่น มีบ้างตอนกีฬาประจำปีของหน่วยงาน

ปัญหาชนเราหรือเราวิ่งชนปัญหา

ปัญหาชนเราหรือเราวิ่งชนปัญหา

ทุกคนล้วนแต่ต้องต้องพบกับปัญหาต่างๆมากมาย แต่ปัญหาเหล่านั้นเกิดจากที่เราวิ่งชนมัน
 หรือ ปัญหาวิ่งมาหาเราเอง  อย่างแรก เราวิ่งชนปัญหา หมายถึง เรารู้ว่าทางข้างหน้าพบ
ปัญหาแน่นอน แต่ยังฝืนเดินต่อไป เปรียบเหมือน เราขับรถไปตามทางที่ขรุขระ เรารู้ว่า
ทางไม่เรียบ แต่ไม่อยากอ้อมให้เสียเวลา จนสุดท้ายเจอทางตันไปต่อไมได้  แต่บางคนยัง
ฉุกคิดได้ ยอมเสียเวลาเลี้ยวรถกลับทัน เหมือนชิวิตคนเรา เช่นคนติดยาเสพติด 
ทีแรกเรารู้ว่ายาเสพติดอันตราย แต่คิดอยากลองเล่น แต่ทำไปทำมา ติดจริงๆ บางคน
ยังฉุกคิดทันว่า ยาเสพติดไม่ดีนะ เลิกดีกว่า เขายังมีโอกาสกลับเนื้อกลับตัว แต่บางคน
ถลำลึกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายหมดอนาคตไปเพราะยาเสพติด ซึ่งหมายถึง 
เราดำเนินชีวิตอย่างประมาทและขาดสติ

  ประเด็นที่สอง ปัญหาวิ่งชนเรา หมายถึง บ่อยครั้งเราดำเนินชิวิตอย่างมีสติแล้ว แต่ปัญหา
ต่างๆมาหาเราเอง เมือปัญหาวิ่งมาหาเรา ควรทำอย่างไร คำตอบคือ มีสติ เมือมีปัญหา
อย่าตื่นตระหนก ตั้งสติและไตร่ตรองว่า ปัญหานั้นเกิดจากสาเหตุอะไร เมือทราบสาเหตุ
เราหาวิธีแก้ปัญหานั้นๆ อาจจะแก้ไขได้ช้าบ้าง เร็วบ้าง ควรใจเย็นไว้ บ่อยครั้ง ปัญหา
บางอย่างเราไม่สามารถแก้ได้ เราคิดซะว่า เราอยู่กับปัญหานั้นๆ ให้ได้ เช่น 
กรณี ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้าย แทนที่เราจะกลัว ให้เราเปลี่ยนความคิดว่า 
เราอยุ่กับโรคร้ายได้อยางไร และ เวลาที่เหลืออยุ่ของเรานั้น เราจะทำอะไรบ้าง

ปัญหามีไว้แก้ ไมได้มีไว้กลุ้ม ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่วิ่งหนีปัญหา 

ผู้ใหญ่กับเด็กคิดต่าง

- ผู้ใหญ่ ห้ามเด็กเล่นมือถือเกมส์ออนไลน์มาก บอกว่า เล่นมากไม่ดีทำให่ สายตาเสีย ทำให้เด็กติดเกม แต่ผู้ใหญ่ time line ได้ทุกวี่วัน เอาแต่ก้มจิ้มนิ้วมือลงหน้าจอ ใจจดจ่อ face book ใคร like ฉัน ก่อนกินข้าว up รุปกันจ้าละหวั่น นี่เหมือนมันไม่ได้มาด้วยกันเลย นั่งอยู่กันเป็นสิบก็ไม่สน เล่นมือถือกันจนเป็นเรื่องคุ้นเคย พิมพ์คิดถึง ห่วงหา
 เหงาจุงเบย อยากจะร้องโอมจงเงยให้รู้ไป  จะไปไหนต้องเช็คอินตลอดเวลาว่าอยุ่ไหน จะทำอะไรที่ไหน กินข้าว ไปเที่ยว ออกกำลังกาย ต้องเซลฟี่ บอกให้ FC รับทราบ
- ผู้ใหญ่บอกเด็กสูบบุหรี่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ถุงลงโปงพอง เป็นมะเร็ง ริมฝีปากดำ แต่ ผู้ใหญ่สูบเอง
ให้เด็กเห็น
- ผู้ใหญ่บอกเด็กอย่าดื่มเหล้านะ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคต่างๆ เหมือนเดิม ผู้ใหญ่ดื่มเอง โดยบอกว่า 
เป็นการสังสรรค์ เป็นการเข้าสังคมแบบนึงของผู้ใหญ่  เด็กสงสัยว่า ทำไมผู้ใหญ่เข้าสังคมแบบนี้เหรอ ก่อนจะให้เด็กๆเป็นคนดี ให้อยู่ในระเบียบที่ได้ตั้งไว้ ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างให้เด็ก ก่อนเด็กย้อนกลับไปถามว่า ทำไมผุ้ใหญ่ทำได้แล้วทำไมเด็กๆ ทำไม่ได้  และคุณผู้ใหญ่ทำได้ตามที่สอนเด็กได้แล้วหรือยัง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
- ผู้ใหญ่บอกให้เด็กมีความซือสัตย์ ไม่โกง ไม่ลอกข้อสอบกัน เป็นสิ่งไม่ดี แต่ผู้ใหญ่ อย่างเราทำเอง ทุกระดับ โกงกินกัน ทุจริตการสอบเข้าเอง
-  ผู้ใหญ่บอกให้เด็กพูดจาเพราะๆ สุภาพ จะทำให้คนอื่นรักเรา  แต่ผู้ใหญ่อย่างเราเวลาคุยกัน บางทีภาษาดั่งเดิม หรือ สารพัดสัตว์ ยังกับยกสวนสัตว์มาเอง
-  ผู้ใหญ่บอกให้เด็ก มีความอ่อนโยน สุภาพ ไม่แกล้งเพื่อน ไม่เล่นกันแรงๆ  ไม่ควรชกต่อยกัน แต่ผุ้ใหญ่เอง บางครั้งใช้ความรุนแรงกับบุคคลอื่น หรือกับสัตว์ต่างๆเอง
-  ผู้ใหญ่บอกให้เด็กให้รักกันสามัคคีกัน เพราะสามัคคีเป็นพลัง แต่ผู้ใหญ่ยกพวกตีกัน หรือแยกพรรค แยกพวก แยกสี กันเอง
-  ผู้ใหญ่บอกการโกหก เป็นสิ่งไมดี เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ โกหกบ่อยๆคนจะไม่เชื่อคำพูดเรา แต่ผู้ใหญ่ บางคนยิ่งกว่าเด็กเลี้ยงแกะ เพราะเป็นผู้ใหญ่เลี้ยงแกะทั้งฝูง

ก่อนจะให้เด็กๆเป็นคนดี ให้อยู่ในระเบียบที่ได้ตั้งไว้ ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างให้เด็ก ก่อนเด็กย้อนกลับไปถามว่า ทำไมผุ้ใหญ่ทำได้แล้วทำไมเด็กๆ ทำไม่ได้  ...และคุณผู้ใหญ่ทำได้ตามที่สอนเด็กได้แล้วหรือยัง


น่าคิดนะ


น่าคิดนะ
- ยุคก่อน เราคุยกับคนรอบข้างเรา ทั้งในบ้านและข้างบ้าน เรารู้จักกันหมด รู้ถึงชื่อพ่อ ชื่อแม่ ชื่อปู่ย่าตายาย เช่น  รู้ถึง ออม ลูกตาชาติ หลานยายปริก แต่เดี่ยวนี้ คนบ้านติดกัน บางทีชื่ออะไรยังไม่รู้เลย หรือบางทีไม่รู้เลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่คนในเฟส ในไลน์ รู้จักดี
- ยุคก่อนสาวๆมักจะบอกว่า อย่าหวังเห็นขาอ่อนฉัน เดี่ยวนี้ เห็นมากกว่าขาอ่อนแล้ว ตาม Facebook live ปัจจุบัน มีการโชว์สด ถ้ากดไลท์มากๆจะถอดให้ดูกัน หรือแนวเต้นโชว์เซ็กซี่
- ยุคก่อน เรื่องเรียนหนังสือ ลูกชาวบ้าน โอกาสได้เรียนยาก ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิง บางทีพ่อแม่บอก เรียนสูงๆไปทำไม เดี่ยวก็ออกเรือนแล้ว เดี่ยวนี้ โอกาส
ทางการศ๊กษาเรามีมากขึ้น แต่เด็กบางคนโดดเรียน ไม่อยากเรียนกัน
- ยุคก่อน สังคมบ้านเราจะเป็นสังคมประนีประนอม เดี่ยวนี้ พอมีปัญหา ไม่ยอมกันและกัน และเกิดวลีเด็ดมากมาย เช่น รู้ไหม ตรูลูกใคร / กราบรถตรู
- ยุคก่อน เรามีค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่มาก เน้นหนักค่ากิน ค่าเดินทาง เดียวนี้ มี ค่าอินเตอร์เนต ค่าโทรศัพท์ ค่าผ่อนต่างๆของอิอนและอื่นๆอีกมากมาย






น่าคิดนะ

น่าคิดนะ

- ยุคก่อนขุดคลองเพื่อระบายน้ำ ยุคนี้ถมคลองสร้างถนน แล้วทำท่อระบายนำกว้างนิดเดียว 
น้ำระบายไมทันก็ท่วม
-ยุคก่อน เราใช้โทรศัพท์เพื่อสือสาร ยุคนี้โทรศัพท์เครื่องเดียวสารพัดประโยชน์จริงๆ 
จนเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิต จนกลายเป็นสังคมก้มหน้า
- ยุคก่อน เราสือสารกับคนจริงๆ เดี่ยวนี้ สือสารผ่านเครื่องอิเลคโทรนิค เช่นคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์
- ยุคก่อนคนในสังคมยิ้มแย้ม จนประเทศไทยได้ฉายา land of smile เดี่ยวนีั้ แค่มองหน้าหน่อย 
ก็เขม่นกันแล้ว
- ยุคก่อน คนมีนำใจช่วยเหลือกัน เดี่ยวนี้นำใจหายไปไหนกัน แค่รถกู้ชีพ หวอขอเปิดทาง 
ไม่ยอมเปิดทางกัน
-ยุคก่อน เรามีแค่ปัจจัย 4 เพียงพอแล้ว แต่เดี่ยวนี้ มีเพิ่มอีกหลายปัจจัย ทั้งโทรศัพท์ ทีวี คอมพิวเตอร์
-ยุคก่อน เราเข้าวัดทำบุญกันมาก จนมีวัดมากมาย เดยวนี้คนห่างวัด ถ้าจะเข้าบางครั้ง
เพื่อขอหวยขูดเลข
-ยุคก่อน เราอยู่แบบเรียบง่าย เดี่ยวนี้ต้องมีนั้นมีนี้มากมาย อันนั้นจำเป็นอันนีจำเป็นไปหมด
-
ยุคก่อน เราเรียนแค่ ป.6 หรูแล้ว เดยวนี้เรียน ปริญญา แต่ ใบปริญญา บางครั้ง 

ไมได้ทำให้คนคิดเป็น
-
ยุคก่อน เป็นสังคมพอเพียง เดยวนี้ สังคมฟุ้งเฟ้อ
เทคโนโนโลยีทำให้สังคมเจริญ แต่ไม่ไดทำให้คนคิดเป็นเสมอไป
- ยุคก่อนขุดคลองเพื่อระบายน้ำ ยุคนี้ถมคลองสร้างถนน แล้วทำท่อระบายนำกว้างนิดเดียว 
น้ำระบายไมทันก็ท่วม
-ยุคก่อน เราใช้โทรศัพท์เพื่อสือสาร ยุคนี้โทรศัพท์เครื่องเดียวสารพัดประโยชน์จริงๆ 
จนเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิต จนกลายเป็นสังคมก้มหน้า
-
ยุคก่อน เราสือสารกับคนจริงๆ เดี่ยวนี้ สือสารผ่านเครื่องอิเลคโทรนิค เช่นคอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์
- ยุคก่อนคนในสังคมยิ้มแย้ม จนประเทศไทยได้ฉายา land of smile เดี่ยวนีั้ แค่มองหน้าหน่อย 
ก็เขม่นกันแล้ว
- ยุคก่อน คนมีนำใจช่วยเหลือกัน เดี่ยวนี้นำใจหายไปไหนกัน แค่รถกู้ชีพ หวอขอเปิดทาง 
ไม่ยอมเปิดทางกัน
-ยุคก่อน เรามีแค่ปัจจัย 4 เพียงพอแล้ว แต่เดี่ยวนี้ มีเพิ่มอีกหลายปัจจัย ทั้งโทรศัพท์ ทีวี คอมพิวเตอร์
-ยุคก่อน เราเข้าวัดทำบุญกันมาก จนมีวัดมากมาย เดยวนี้คนห่างวัด ถ้าจะเข้าบางครั้ง
เพื่อขอหวยขูดเลข
-ยุคก่อน เราอยู่แบบเรียบง่าย เดี่ยวนี้ต้องมีนั้นมีนี้มากมาย อันนั้นจำเป็นอันนีจำเป็นไปหมด
-ยุคก่อน เราเรียนแค่ ป.6 หรูแล้ว เดยวนี้เรียน ปริญญา แต่ ใบปริญญา บางครั้ง 
ไมได้ทำให้คนคิดเป็น
- ยุคก่อน เป็นสังคมพอเพียง เดยวนี้ สังคมฟุ้งเฟ้อ

เทคโนโนโลยีทำให้สังคมเจริญ แต่ไม่ไดทำให้คนคิดเป็นเสมอไป

ความสุขสร้างง่ายนิดเดียว

ความสุขสร้างง่ายนิดเดียว

1.ความสุขไม่ได้อยู่ที่มีบ้านหลังใหญ่
แต่อยู่ที่ในบ้านที่มีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ

2.ความสุขไม่ใช่มีรถคันหรู.
แต่คือการขับรถถึงบ้านปลอดภัย

3.ความสุขไม่ใช่การมีเงินเก็บเยอะแยะ
แต่หมายถึงการได้ทำในสิ่งที่ชอบ


4.ความสุขไม่ใช่คนรักของเราสวยหรือหล่อ
แต่คือคนรักเรายิ้มได้งดงามเพียงใด

แค่ชีวิตคิดบวกมีความสุขแล้ว

แค่ชีวิตคิดบวกมีความสุขแล้ว

1.ถ้าเรามีบ้านเล็กๆ ..
เราคิดว่า บ้านหลังแค่นี้ดีแล้ว ดูแลบ้านได้ง่ายๆดีด้วย
2. ถ้าเราทำงานตำแหน่งเล็กๆ
เราคิดว่าไม่เป็นไร เราทำตำแหน่งนี้ไปก่อน แล้วเราศึกษาพัฒนาไปสู่ระดับสูงกว่า
3.ถ้าเราเจอความทุกข์
เราคิดว่า เป็นโอกาศให้เราได้ฝึกฝนความอดทน กา่รเรียนรู้ชีวิต
4.ถ้าเราเจอคนนินทาเรา
เราคิดว่า เราเป็นคนสำคัญนะ ถึงมีคนสนใจเรา
5.ถ้าเราเจองานหนัก
เราคิดว่า เป็นโอกาศเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
6. ถ้าเราไม่มีคนรักแบบคนอื่น
เราคิดว่า ทำให้เรารู่ตัวเองว่าเราสามารถอยู่คนเดียวได้แบบสบายๆ
7.ถ้าเราอกหักถูกแฟนทิ้ง
เราคิดว่า เราจะได้รู้รสชาติว่าการอกหักเป็นอย่างไร
8.เวลาเราเจอความจน
เราคิดว่า เป็นโอกาศให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
9.ถ้าเราต้องเกษียณอายุหรีอหลุดจากตำแหน่งหน่าที่การงาน
เราคิดว่า นี้คืออนัตตาของชีวิต
10. ถ้าเราป่วยไข้
เราคิดว่า เป็นคำเตือนให้เราระวังสุขภาพเรา
เพียงคิดแง่บวก คิดเป็นสิ่งดีๆได้ เรามีความสุขได้ทุกคน